กิ๊ฟท์ซ่า นักร้องสาว ปิดฉากรักมาราธอน 13 ปี ไฮโซนัท

บันเทิง

เรียกได้ว่าทำเอาแฟนๆ อดที่จะใจหายไม่ได้เลย เมื่อนักร้องนักแสดงสาวสวยมากความสามารถ กิ๊ฟท์ซ่า ปิยา พงศ์กุลภา ได้ให้สัมภาษณ์ในงานบวงสรวงละคร ฮักหลายมายเลดี้ ค่ายมงคลดีฯ ถึงความสัมพันธ์กับ ไฮโซนัท ณัฐพล สารสาส ที่ตอนนี้เลิกรากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปิดฉากเส้นทางรักมาราธอน 13 ปี ด้วยเหตุผลที่มองอนาคตไม่เหมือนกัน

หัวใจตอนนี้?

“ตอนนี้โสดมากค่ะ ไม่มีคนคุยด้วย ไม่มีคนมาจีบ และไม่คุยกับใครด้วย ทำงานอย่างเดียว ทำมาหากิน”

แฮปปี้กับความโสดน่าดู?

“มากเลยนะ คือเราคบกับคนก่อนหน้านี้มา 13 ปี แล้วก่อนหน้านั้นเรามีแฟนอีกคนคบมา 4 ปี รวมทั้งหมดเราไม่ได้โสดมาเลย 17 ปีนะคะ แล้วตอนนี้มาโสด ตอนแรกก็รู้สึกเคว้งๆ เนอะ สไตล์คนมีแฟนมาตลอด แต่พอโสดเข้าจริงๆ เราเริ่มอยู่กับตัวเองได้ รู้สึกว่าไม่อยากให้ใครมาเข้าในพื้นที่เรา เริ่มรู้สึกว่าฉันมีความสุขกับการอยู่กับตัวเอง มีความสุขในสิ่งที่ฉันอยากดู กินอะไรก็ได้ ไปนั่งกินข้าวคนเดียวก็ไม่ได้มีความเหงาอะไรเลย แปลกมากค่ะ”

13 ปีไม่เสียดายบ้างเหรอ?

“มันก็ต้องมีอกหักกันบ้าง มันก็ค่อนข้างที่จะกะทันหันนิดนึง ตอนนั้นเป็นช่วงโควิดด้วยก็เลยไม่ได้เจอพี่ๆ สื่อ ได้แต่สัมภาษณ์กับสื่อหนึ่งเท่านั้น เลยไม่ได้พูดเรื่องรายละเอียด แต่เหมือนกับทางที่เรากำลังจะเดินไปข้างหน้ากับทางของเขามันคนละทางกันค่ะ เราก็เลยตัดสินใจเลิกรากัน นี่ก็จะปีหนึ่งแล้วนะ”

แต่เหมือนมีข่าวว่ามีแพลนจะแต่งงานแล้ว?

“ใช่ ของบางอย่างพอมันไม่ใช่ในสิ่งที่มันควรจะเป็นมันก็ต้องจบ คือเราก็เป็นแนวธรรมะเนอะ เราก็รู้สึกว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราก็รู้สึกว่าถ้าจะเดินไปข้างหน้าเราต้องเดินไปได้ด้วยตัวเอง ด้วยการตัดสินใจของเราเอง หรือถึงแม้เราจะมีคู่ก็ควรจะตัดสินใจด้วยตัวเราเองเช่นกัน ในเมื่อทางมันแยกกันไปเป็นคนละทางไปแล้ว เราก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร เราก็เริ่มต้นจากตัวเองใหม่”

สาเหตุหลักคือการมองอนาคตไม่เหมือนกัน?

“ใช่ คือด้วยความที่เรามีคุณพ่อคุณแม่ที่ปลูกฝังเรามาตลอดว่าอยากให้มีครอบครัว สร้างครอบครัวที่มั่นคง เราก็จะมีมุมมองในทางนั้น แต่กับทางเขาอาจจะมองกันคนละทาง ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ทางไม่ดีนะ เพราะแต่ละคนมันก็มีมุมมองที่แตกต่างกันไป แต่เราโดนปลูกฝังมาว่าจะต้องสร้างความมั่นคงให้ตัวเอง ไม่ว่าจะเรื่องของอาชีพ ฐานะการเงิน หรือว่าครอบครัว”

แสดงว่าทางเราอยากแต่ง แต่ทางนั้นยังไม่พร้อม?

“ก็น่าจะประมาณนั้นค่ะ(ยิ้ม) (แต่ 13 ปีมันไม่ใช่เวลาน้อยๆ?) กิ๊ฟท์มองว่าเวลามันเป็นสิ่งที่ให้เราได้รับบทเรียนมากกว่า เราเรียนรู้อะไรจากเวลา เรียนรู้อะไรจากข้อผิดพลาดในชีวิตเรา เรียนรู้เพื่อที่จะไม่ทำผิดซ้ำ ถ้าสมมติอนาคตมีสิ่งที่เราคิดแล้วว่าอนาคตอาจจะทำให้เราเดินพลาด เราก็จะรู้แล้วว่าเราจะเดินกับมันยังไง เพราะในทางข้างหน้ามันจะมีปัญหาอุปสรรคมาเรื่อยๆ แหละ เพียงแต่เราจะมีวิธีการแก้ที่ดีกว่าเดิมได้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา”

ถือว่าจบกันด้วยดีไหม?

“ยังไม่ได้คุยกันเลยค่ะ (อยู่ๆ ก็ห่างกันไปเลยเหรอ?) ใช่ คือจริงๆ กิ๊ฟท์มองว่าความเงียบก็น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดนะคะ”

เงียบแบบนี้มาตลอด 1 ปี?

“ประมาณปีหนึ่ง เอาจริงๆ ตอนแรกก็สงสัย แต่ด้วยความที่เราโตขึ้นแล้ว เราจะไม่มีการที่จะมาง้องแง้ง วอแว งั้นเราก็มีดีลกันแบบโตๆ บางทีคนเราอาจจะมีวิธีการเผชิญหน้าปัญหาที่แตกต่างกัน วิธีการเผชิญหน้าของกิ๊ฟท์คือกิ๊ฟท์เป็นคนชัดเจน แต่หลายๆ คนเวลาที่เขาเผชิญปัญหาเขาอาจจะมีทางเลือกของเขาที่แตกต่างจากเรา”

มีสัญญาณอะไรมาก่อนไหม?

“ไม่มีสัญญาณ คือวันนั้นเราถ่ายละครวันสุดท้าย แต่ช่วงโควิดเราก็ไปอยู่ที่ภูเก็ต แต่พอมาตรการการถ่ายละครมันดีขึ้น เราก็บินมาถ่ายละครที่กรุงเทพฯ และวันนั้นเป็นวันถ่ายละครวันสุดท้ายเรื่องกองป่วนฯ ซิทคอมของพี่เติ้ลนี่แหละ เราก็โทรไปว่าจะขึ้นมากรุงเทพฯ หรือจะให้เราลงไปภูเก็ต เพราะวันนี้ถ่ายละครวันสุดท้าย เขาก็บอกว่าเราก็น่าจะห่างๆ กันหน่อยแล้วกันนะ เราก็งงว่าคืออะไร แล้วมันเหมือนฉากละครเลย น้องในกองมาเคาะกระจกบอกว่าพี่กิ๊ฟท์เข้าซีน เขาก็บอกให้เราไปทำงานก่อน เราก็โอเค เดี๋ยวค่อยคุยกันแล้วก็วางไป หลังจากนั้นก็ไม่ได้คุยอีกเลย”

แล้วตอนกลับไปเข้าฉาก อารมณ์เราไม่กระเจิงแล้วเหรอ เจอเขาพูดทิ้งท้ายแบบนั้น?

“เราโปรเฟสชั่นนอลขนาดนั้นไง เดอะโชว์มัสต์โกออน ด้วยความเกิร์ลลี่เบอร์รี่ตั้งแต่เด็ก เราเดอะโชว์มัสต์โกออนตลอด มันไม่มีปัญหาอะไรเลยค่ะ”

หลังจากนั้นเราได้โทรกลับไปไหม?

“โทรค่ะ แต่เขาไม่รับ แต่เราก็ไม่ได้โทรเยอะนะ ไม่เกิน 5 ครั้งในรอบที่ผ่านมาปีหนึ่ง (แล้วเงียบกันมาตลอดเลยเหรอ?) เงียบ ใช่ค่ะ พอเงียบเราก็ตัดสินใจเองเลย เราเป็นคนตัดสินใจเอง ฝากเพื่อนเขาไปบอก เขาก็ไม่ได้มีฟีดแบ็กอะไรกลับมา”

เรียกว่าเราโดนเทได้ไหม?

“ไม่รู้จะพูดยังไง เพราะมันเหมือนเราเป็นคนเดินออกมา เพราะเขาไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ คือเราก็ไม่ได้มีอะไร เราไม่ได้จะทำอะไร ไม่ได้ไปไหน คือไม่ได้มีใครทำอะไรผิด เพียงแต่มันถึงจุดที่มันเป็นทางแยก คือยุคโควิดมันพิสูจน์อะไรหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคมและความสัมพันธ์ระหว่างแฟน ระหว่างคนรัก ระหว่างเพื่อน หรือแม้กระทั่งระหว่างคนในครอบครัว กิ๊ฟท์ถึงบอกว่ามันเป็นจุดที่เปลี่ยนแปลงเพื่อที่จะให้เราเดินไปข้างหน้าด้วยความกล้าหาญหรือเปล่า”

ถ้าได้เจอกันล่ะ จะเคลียร์จะมองหน้ากันได้ไหม?

“คงไม่เคลียร์ค่ะ เพราะมันผ่านมาแล้ว ในส่วนตัวกิ๊ฟท์รู้สึกว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว มันผ่านไปแล้ว เราก็ให้มันผ่านไป เราใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เราสร้างเขตของปัจจุบันให้ดีเพื่ออนาคตเราที่ดี เพราะฉะนั้นอะไรที่ผ่านมาแล้วกิ๊ฟท์มองว่ามันเป็นบทเรียน เหมือนประสบการณ์ที่เราจะเก็บไว้ใช้ได้ในหลายๆ อย่างในชีวิต”

“คนอาจจะมองว่าการที่เรามีชีวิตคู่ที่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ท้ายที่สุดมันจะเป็นประสบการณ์ที่จะสอนเราในการเจอคนในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการทำงาน คู่ครอง หรือครอบครัว มันจะทำให้เราได้เรียนรู้ว่าอีกหน่อยในอนาคตเราจะสามารถที่จะดีลกับคนอื่นแบบไหนได้”

มีเสียน้ำตาไหม?

“เสียสิ  แต่ก็ร้องไม่นาน กิ๊ฟท์ใช้เวลาอยู่ประมาณเดือนหนึ่ง เพราะเราก็ไม่ได้อายุน้อยแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะต้องดีลกับสิ่งที่เราเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนี้หรือเรื่องอะไรแบบผู้ใหญ่ คืออย่าเสียเวลาเกินไป เรารู้สึกยังไงไม่มีใครมาช่วยเราได้ เราคนเดียวที่จะช่วยตัวเองให้ลุกขึ้นมาได้”

“นี่คือสิ่งที่กิ๊ฟท์เรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก ยิ่งเราเศร้านานแค่ไหน มันจะยิ่งทำให้เราลุกขึ้นได้ช้า เสียเวลา เราก็เดินไปข้างหน้าได้ช้า เหมือนเราสร้างเหตุที่มันฝังใจไว้ ถ้าเราไม่รีบเคลียร์ให้มันออกไป ความฝังใจนั้นมันก็จะอยู่กับเรายาวเลย และอนาคตของเราจะเป็นยังไง ในเมื่อ 13 ปีนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นประสบการณ์ที่เราได้เรียนรู้ไปแล้ว”

ผิดหวังในตัวเขาไหม เพราะจริงๆ ไม่ต้องเลิกกันด้วยวิธีแบบนี้ก็ได้?

“ถามตอนนี้กิ๊ฟท์รู้สึกว่าจริงๆ แล้วมันอาจจะเป็นทางออกที่ดีแล้วก็ได้ คือไม่ว่าการแสดงออกหรือการแก้ปัญหาจะเป็นแบบไหน กิ๊ฟท์ยอมรับในตรงนั้นเลย เพราะสุดท้ายคนที่ต้องดีลกับชีวิตเราคือตัวเราเอง”

มีใครดามใจให้ไหม?

“มันก็มีบ้างก่อนหน้านี้ แต่ก็เหมือนเป็นอารมณ์มาอยู่ให้ใจเรามันได้คิดเรื่องอื่นมากกว่า จริงๆ เศร้าอยู่เดือนหนึ่ง ใช้เวลา 3 เดือนในการตั้งหลัก พอใจเราเข้มแข็งขึ้นเราก็รู้สึกว่าเราต้องเดินไปข้างหน้าแล้วล่ะ เพื่อความมั่นคงในชีวิตเราที่เราตั้งใจไว้”

ไม่ได้ทำให้เรากลัวหรือเข็ดความรักใช่ไหม?

“เอาจริงๆ ไหม ก็ต้องมีกลัวนะ เราเป็นมนุษย์เนอะ แต่มันไม่ใช่กลัวแบบนั้น คือเรารู้ว่าถ้าเรามีแฟนเราจะเป็นคนทุ่มเทเต็มร้อย เราจริงจังและจริงใจมาก ถ้าสมมติตอนนี้เรามาโฟกัสที่ตัวเอง โฟกัสที่การงานที่มั่นคงของเรา ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ คือกิ๊ฟท์แพลนว่าเล่นละครอีกกี่ปีแล้วจะเทิร์นเป็นเบื้องหลัง วางแผนชีวิตไว้หมดแล้วก็เลยไม่อยากให้คนอื่นเข้ามา รบกวนสมาธิมากกว่า”

ตอนนี้ก็มีภูมิคุ้มก็เรื่องความรักดีมาก?

“ถ้าเทียบกับวัคซีนโควิดก็น่าจะประมาณ 10 เข็ม”