ชีวิตที่อเมริกา เอม ลูกชาย ดู๋ สัญญา ทำงานหาเงินใช้เอง

บันเทิง

เรียกได้ว่าใครหลายๆ คนคงจะรู้จักและคุ้นหน้าคุ้นตาเจ้าตัวเป็นอย่างดี สำหรับหนุ่ม เอม สรรเพชญ์ ทายาทคนเดียวของพีธีกรมากฝีมือ สัญญา คุณากร ก่อนหน้านี้เจ้าตัวเคยออกมาเปิดใจถึงที่อเมริกาว่า  ตอนมาเรียนแรกๆที่ Loyola Marymount University รู้สึกคิดถึงบ้าน ครอบครัว เพื่อนๆ รวมถึง เซย่า

มหาวิทยาลัยอยู่บนเขาในเมืองลอสแอนเจลิส อากาศดีมาก มีเส้นทางวิ่งรอบมหาวิทยาลัย ใครชอบวิ่งเทรลหรือชอบออกกำลังกายสามารถมาวิ่งได้ ผมเลือกเรียนที่นี่ เพราะเคยมาเรียนซัมเมอร์แล้วชอบ

พื้นที่มหาวิทยาลัยไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป ดูอบอุ่นดี มีทั้งนักศึกษาอเมริกัน  ยุโรป และเอเชีย ผมเลือกคณะบริหารธุรกิจ เพราะมาร์เก็ตติ้งที่นี่ติดอันดับท็อป ชื่อเสียงมหาวิทยาลัยอาจไม่ดังเท่าไร

ทั้งที่ผลการเรียนของผมสามารถเลือกเรียนมหาวิทยาลัยดังได้ ซึ่งคุณแม่อยากให้เป็นแบบนั้น จะได้มีโอกาสหางานทำง่ายขึ้น ซึ่งผมไม่ค่อยสนใจเท่าไร แต่เข้าใจท่าน ก็คงต้องรอให้เรียนจบปี2 ก่อน

ถ้าย้ายมหาวิทยาลัยได้ก็คงทำอย่างที่คุณแม่แนะนำ เนื่องจากผมอยู่หอพักในมหาวิทยาลัย  มีรูมเมตเป็นคนอเมริกัน แต่เราไม่ค่อยสนิทกัน ชีวิตนักศึกษาหอพักในอเมริกาคล้ายกับที่เคยดูในหนังเลย

เพื่อนผมบางคนไม่ถูกกับรูมเมต เขาขีดเส้นที่พื้นแบ่งห้องคนละครึ่งเลย แต่โชคดีรูมเมตผมโอเค มีช่วยกันทำการบ้านบ้าง พูดคุยซักถามกันบ้าง แต่ไม่ได้สนิทถึงขั้นไปกินข้าวด้วยกันหรือชวนไปเที่ยวในเมือง

ส่วนก๊วนเพื่อนสนิทของผมเป็นคนอินโดนีเซีย เยอรมัน และอเมริกันการใช้ชีวิตที่นี่ทำให้ผมได้เป็นตัวของตัวเองทำทุกอย่างเอง เช่น เลือกคลาสเรียนเอง จะกินข้าวเวลาไหน กินอะไร จะออกไปแฮ้งเอ๊าต์กับเพื่อนตอนไหน ใช้เงินอย่างไร

คุณพ่อไม่ได้กำหนดเงินให้ใช้แต่ละเดือน เพราะเชื่อใจว่าผมไม่ฟุ่มเฟือย ช่วงแรกผมยังบริหารเวลาได้ไม่ดี นอนดึก ตื่นสาย กินข้าวไม่ตรงเวลา แต่พออยู่ไปเรื่อยๆ ทุกอย่างก็เริ่มเป็นระบบขึ้น ตื่นมาทานมื้อเช้า ไปเรียนหนังสือ

กลับมาทบทวนสิ่งที่เรียนไปแล้วที่สำคัญคือต้องเข้าฟิตเนสสัปดาห์ละ 5 วัน  วันละ 2 ชั่วโมง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชอบมาก ส่วนเรื่องที่ผมขี้เกรงใจคน ทำให้คิดเยอะหรือทำให้เราดูเป็นคนเงียบๆ ก็อาจต้องค่อยๆปรับไป

คุณแม่กังวลว่าผมจะไม่กล้าเป็นตัวของตัวเอง มักส่งคำคมหรือปรัชญามาให้เป็นกำลังใจเรื่อยๆ เช่น  Be Yourself, Don’t care the other. ช่วยให้เราได้คิดและคอยเตือนตัวเองไปด้วยผมชอบใช้ชีวิตเรียบง่าย

ไม่ค่อยได้ใช้จ่ายอะไร เคยเดินทางไปแซนแฟรนซิสโกมีเงินติดตัวไป 500 ดอลลาร์ พอแม่รู้ว่าผมมีเงินแค่นี้ เตรียมจะโอนเงินมาเพิ่มให้ จึงบอกไปว่ายังเหลือเงินอีก 300 ดอลลาร์ และกำลังจะกลับแล้วผมน่าจะได้นิสัยนี้มาจากคุณพ่อ

เพราะถูกสอนบ่อยๆว่าให้รู้จักประหยัด ให้ทำบัญชีควบคุมการใช้จ่าย เวลาจะซื้ออะไรสักชิ้น ผมจึงมักจะคิดเกี่ยวกับฟังก์ชันมากกว่ารูปลักษณ์ เป็นของที่เรามีหรือยัง และที่จะซื้อใหม่ดีกว่าที่มีอยู่หรือเปล่า

หรือมันแพงกว่าที่เราซื้อได้หรือเปล่า ถ้าผ่านหมดทุกข้อก็ซื้อได้ แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยผ่าน เพราะผมมักจะมีแล้ว หรือไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ อะไรยังใช้ได้ดีก็ใช้ไป

ไม่ค่อยสนใจว่าเป็นแบรนด์อะไร ตอนอยู่ไฮสกูลผมยังใช้โทรศัพท์โนเกียเครื่องละ 900 บาทอยู่เลย คุณแม่เพิ่งเปลี่ยนเป็นไอโฟนให้เมื่อวันเกิดที่ผ่านมา