รศ.นพ.ธีระ แนะการเรียนใหม่ การเปิดเรียนยุคโควิด19

บันเทิง

ท่ามกลางการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้กระทรวงศึกษาธิการเตรียมรีบมือปรับตัวให้เด็กนักเรียนทั่วประเทศ เรียนผ่านระบบออนไลน์จนกว่าจะเข้าสู่สถานการณ์ปกติ ล่าสุด เฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ได้ออกมาเผยว่า เปิดโรงเรียน…เปิดรับโรค COVID-19?

โดย รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ว่า ช่วงนี้เราเห็นการเรียกร้องผลักดันให้เปิดโรงเรียนกันมากขึ้นเรื่อยๆ เหตุผลมีหลากหลาย หลักๆ คือ กลัวเด็กไทยจะเรียนไม่ทันหลักสูตร ไม่พร้อมที่จะเข้าสนามสอบต่างๆ ที่สำคัญต่ออนาคตของเด็ก เหตุผลอื่นๆ

คงเป็นเรื่องความลำบากในการดูแลลูกหลาน หากพ่อแม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านโดยไม่มีใครดูแล รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่มีตามมาโรคติดต่อ…จะติดต่อ ถ้าเราติดต่อกัน…โรคติดต่อ…จะไม่ติดต่อ ถ้าเราไม่ติดต่อกัน…งานวิจัยในปี 2004 ที่เยอรมัน ศึกษาเด็กวัยเรียนอายุ 6-12 ปี

พบว่าโดยเฉลี่ยแล้วเด็กๆ ที่ไปโรงเรียน จะมีการติดต่อสัมผัสใกล้ชิดกับเพื่อนๆ หรือคนอื่นๆ ในโรงเรียน เฉลี่ยวันละประมาณ 40 ครั้งงานวิจัยในปี 2014 ที่จีน ศึกษาเด็กเกรด 7-8 (หรือประมาณม.ต้นของเรา) พบว่ามีการติดต่อสัมผัสใกล้ชิดกับคนอื่นๆ ในโรงเรียนวันละประมาณ 20 ครั้ง

วันที่ไปโรงเรียนจะมีจำนวนการติดต่อสัมผัสกับคนอื่นๆ มากกว่าวันหยุดถึง 30%การเปิดโรงเรียนของเราในยุค COVID-19 นี้จึงท้าทายมากว่าจะจัดการอย่างไร?นอกไปจากการคัดกรองไข้สำหรับครู บุคลากรต่างๆ นักเรียนและผู้ปกครองแล้ว มาตรการให้ใส่หน้ากาก ล้างมือ และอยู่ห่างๆ จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดกระบวนการวิกฤติที่น่าจะได้รับการขันน็อตอย่างแน่นๆ

คือหนึ่ง หากใครมีอาการไม่สบาย ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด ควรให้กลับบ้าน ไม่ว่าจะเป็นครู บุคลากรฝ่ายสนับสนุน รวมถึงนักเรียนสอง การปรับกิจกรรมการเรียนการสอน การเล่น/การสังคม ในทุกระดับชั้น ให้มีจำนวนการติดต่อสัมผัสกับคนอื่นลดลงให้เหลือเท่าที่จำเป็นสาม การล้างมือทุกครึ่งชั่วโมง จะล้างด้วยน้ำและสบู่

หรือเจลแอลกอฮอล์ประจำห้องสี่ สุขอนามัยในห้องสุขา ทั้งการทำความสะอาด และการใช้งานสิ่งที่ควรพิจารณากันคือ แนวการเรียนใหม่ ไปโรงเรียนสัก 3 วัน (จันทร์ อังคาร พุธ) เว้น 4 วัน (พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์) เพื่อเป็นระยะเฝ้าสังเกตอาการหากติดเชื้อ ปกติจะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 4.5 วันวันที่อยู่บ้านก็ทำการบ้านที่ได้รับมอบหมาย

โดยปรับให้สอดคล้องกับชีวิตเด็กแต่ละคน คณิตเอย วิทย์เอย ภาษาเอย อื่นๆ เอย ถ้าเอาเข้าจริงๆ เราก็อยากให้เค้าได้รู้เพื่อใช้การได้ในชีวิตประจำวันมิใช่หรือ? หากใช่ ก็น่าจะถึงเวลาที่กระทรวงศึกษาธิการ และสถาบันอุดมศึกษาปรับโจทย์การเรียนรู้ให้เข้ากับวัตถุประสงค์หลักและเข้ากับบริบทสังคมเสียที

ขอบคุณข้อมูล : Thira Woratanarat