เปิ้ล เล่าเรื่องยาวถึงผู้ว่าคนใหม่ ชัชชาติ สมัยเป็นนักเรียนในคลาส

บันเทิง

เรียกได้ว่าผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครออกมาเป็นที่เรียบร้อย โดย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครอิสระ หมายเลข 8 สร้างสถิติใหม่คะแนนเสียงไปกว่า 1,386,215 คะแนน ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากที่สุดนับแต่ที่มีการเลือกตั้งมา โดยทางด้านของ เปิ้ล นาคร ได้เขียนถึงผู้ว่าคนใหม่เอาไว้ว่า “เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้วได้มีโอกาสเข้าลงเรียนคอร์สนึงที่มีชื่อว่า ABC คอร์สนี้จะเป็นคอร์สที่คนลงเรียนส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่

จะได้มาเรียนรู้ได้ทำ Workshop ได้ฟังผู้ที่ประสบความสำเร็จทั้งทางด้านการบริหาร ธุรกิจ ศิลปะฯลฯ จากคนเก่งเบอร์ต้นๆจากทั่วประเทศ ในมุมมองอันหลากหลาย…วันหนึ่งได้มีโอกาสรู้จักกับผู้ชายคนนึงที่ชื่อ…ชัชชาติ

ก่อนหน้านี้เราไม่เคยรู้จักเลยว่าเค้าคือใคร รู้แต่ว่าเป็นนักธุรกิจนักบริหารที่ประสบความสำเร็จตามที่ทางคอร์สที่แจ้งมา สิ่งที่ผู้ชายที่ชื่อชัชชาติต้องมาเล่าให้กับนักเรียนในคอร์สวันนั้นฟังคือเรื่องของภาวะการเป็นผู้นำ หรือ leadership

เราก็กะว่าคงเป็นเหมือนการทอล์คแบบผู้ที่ประสบความสำเร็จท่านอื่นทำแต่กลับไม่ใช่ ชัชชาติคนนั้นไม่ได้พูดถึงเรื่องของหลักการใดๆในการเป็นleadershipเลย แต่กลับเล่าอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของภาวะวิกฤตที่ยากที่สุดในชีวิตที่กว่าเค้าฝ่าฝันและจัดการกับมันไปได้

นั่นก็คือ เรื่องของลูกชายสุดที่รัก ที่เกิดมาแล้วเมื่อตอนอายุ 1ขวบ ค้นพบว่าเป็นเด็กที่ไม่สามารถรับรู้ทางการได้ยินได้ นั่นหมายความว่าจะเป็นใบ้ไปตลอดชีวิต เราก็นั่งฟังด้วยความสงสัยว่าเกี่ยวอะไรกับ leadership แกก็เล่าไปเรื่อย ๆ ว่าครั้งนั้นเองทำให้เกิดการตัดสินใจแบบเปลี่ยนชีวิต

หลังจากที่เขาทำธุรกิจประสบความสำเร็จมาหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นองค์กรที่บริหาร เรื่องการเมืองที่ทำ เขาประสบความสำเร็จมาหมด ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงขาขึ้นในชีวิตผู้บริหาร แต่กลับเลือกหยุดงานทั้งหมดเพื่อมาจัดการกับวิกฤติในชีวิตครอบครัวที่ตอนนั้นเขาทุกข์ใจมาก

เขาบอกว่าการเป็นผู้นำต้องมีการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในทุกภาวะวิกฤติว่าเราจะเลือกจัดการกับวิกฤติที่เกิดขึ้นในชีวิตอะไรเป็นอันดับแรก สิ่งหนึ่งที่ตัดสินใจคือการเลือกที่จะออกจากงานทุกอย่าง แล้วมาจัดการกับสิ่งที่ตัวเองรักที่สุดในชีวิต เขาเริ่มพาลูกไปทำการรักษากับหมอที่ดีที่สุดที่ประเทศออสเตรเลีย ยกไปอยู่กันทั้งครอบครัว

เพื่อจัดการกับวิกฤติในชีวิตนี้ผ่านมันไปให้ได้ ทางคุณชัชชาติเองก็เริ่มเรียนรู้ร่วมศึกษาต้นตอปัญหาไปกับหมอร่วมรักษาให้ลูกได้รับรู้ได้ฟังได้พูดเหมือนคนปกติทั่วไปให้ได้ พ่อแม่ต้องมุ่งมั่น อดทนมันทรมานมากในการจัดการต่อสู้กับธรรมชาติซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย หลายๆสิ่งที่ท่านพูดในชั่วโมงนั่นมันมีมากกว่าที่เราจะบรรยายได้ทั้งหมด…..

ในการที่จะต้องอดทนทุกวัน ทุกวัน “ทำงานอย่างหนัก และต้องไม่ท้อถอย”เป็นเดือนเป็นปี ในการที่ต้องทำตามที่คุณหมอบอก จนในที่สุดลูกชายแสนดีก็กลับมาได้ยินเหมือนคนปกติทั่วไป แล้วได้เข้าเรียน ที่ University of Washington สหรัฐอเมริกา นั่นหมายความว่าวิกฤติที่สุดในชีวิตของเค้า เค้าได้จัดการกับมันได้

สิ่งที่เขาสอนเราในวันนั้นคือภาวะการเป็นผู้นำต้องสู้ จัดการกับทุกวิกฤติ เรียงลำดับความสำคัญก่อนที่จะลงมือทำเป็นขั้นตอน นี่คือวิสัยทัศน์ของผู้ชายที่ชื่อชัชชาติ เมื่อ 7 ปีที่แล้วที่เรามีโอกาสรู้จัก แล้วก็เป็นตัวอย่าง เป็นต้นแบบของการเป็นผู้นำครอบครัวให้กับเรา

เชื่อว่าสิ่งที่ท่านกำลังจะทำต่อจากนี้ไปน่าจะเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรจะใหญ่ไปกว่าพลังแห่งความรักที่ท่านทำให้กับคนที่รักที่สุดมาแล้ว…. หลังจากที่ท่านเล่าเรื่องทั้งหมดจบท่านชัชชาติก็ได้ลุกขึ้นพร้อมผายมือไปหลังห้องแล้วพูดว่า”

และวันนี้ผมยินดีมากที่ได้พูดเรื่องราวทั้งหมดนี้ ให้ทุกคนได้ยินไปพร้อมๆกันกับแสนดีลูกชายของผมที่มานั่งร่วมรับฟังเป็นครั้งแรกอยู่ในห้องนี้ด้วย….” ..แล้วแสนดีก็วิ่งลงมากอดพ่อพร้อมตีมือกันแบบฮิปฮอปที่หน้าห้อง พร้อมกับทุกคนลุกขึ้นยืนโดยมิได้นัดหมาย

เสียงปรบมือ และน้ำตาของเราและหลายๆคนในห้องต่างไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว… ขอแสดงความยินดีกับพี่ชัชชาติ ผู้ว่าคนใหม่ของพวกเราชาวกทม.นักเรียนคนนึงในห้องเรียน ABC……นาคร ศิลาชัย”

ขอบคุรข้อมูล:Ple Nakorn