โซเชียลแห่ชื่นชม หนุ่มวัย 25 ปี ที่สอบติดผู้พิพากษาตั้งแต่ครั้งแรก

ข่าวทั่วไป

นับว่าเป็นเรื่องราวที่น่ายินดีมากๆเลยทีเดียว หลังเพจเฟซบุ๊ก คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง – ทางการ  ได้ออกมาโพสต์แสดงความยินดีกับ นายศตพัฒน์ แขกเพ็ง หนุ่มวัย 25 ปี ที่สอบติดผู้พิพากษาตั้งแต่ครั้งแรก และเป็นอันดับ 1 ของประเทศแถมดีกรีไม่ธรรมเพราะจบปริญญาตรีในวัยเพียง 18 ปีอีกด้วย โดยระบุว่า ” วิธีการศึกษากฎหมายโดย ศตพัฒน์ แขกเพ็ง อันดับ 3 เนติบัณฑิตสมัยที่ 67 ศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง #RULAW

การที่เราจะทำสิ่งใดได้ดีนั้นจะต้องมีใจรักและอยากจะทำสิ่งนั้นๆจริงๆ การเรียนกฎหมายก็เช่นกัน มันต้องเริ่มจากความรู้สึกอยากจะเรียนจริงๆไม่ใช่เพราะถูกบังคับหรือเพราะไม่รู้จะเรียนอะไร แต่แน่นอนครับน้อยคนมากที่เข้ามาเรียนเพราะความรู้สึกแบบนี้แต่แรก ดังนั้นเราควรจะสร้างความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาให้ได้ โดยอาจจะหาแรงบันดาลใจจากใครสักคน หรือเพื่อเป้าหมายที่เราวางเอาไว้ว่าอยากจะเป็น

เมื่อใจมาแล้วก็ไม่ยากแล้วครับสิ่งที่มีต่อมาคือความขยัน วิชากฎหมายเป็นวิชาที่ต้องอาศัยความขยันเข้าช่วย เพราะสำหรับวิชากฎหมายนี้ไม่มีคนเก่งมีแต่คนขยัน ไม่มีคนโง่มีแต่คนขี้เกียจ แต่บางทีความขยันนั้นเราควรขยันให้ถูกที่ถูกทางด้วยเพราะเช่นนั้นความขยันก็สูญเปล่า

สำหรับวิธีการเรียนกฎหมายในชั้นปริญญาตรีของตัวผมเองนั้น เนื่องด้วยผมเข้าศึกษาในหลักสูตร พรีดีกรี ซึ่งต้องเรียนควบคู่ไปกับชั้นมัธยมปลายการแบ่งเวลาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งผมจะเริ่มวางแผนจากการลงทะเบียนเรียน โดยจะลงเท่าที่คิดว่าตัวเองจะพอสอบไหว โดยต้องดูวันสอบให้ห่างกันเพื่อจะได้มีเวลาพอที่จะทบทวน พอลงทะเบียนเสร็จแล้ว

ผมก็จะไปหาซื้อหนังสือทุกวิชา เพราะผมไม่ได้มีโอกาสเข้าฝังคำบรรยายจึงต้องซื้อหนังสือทั้งหมดกลับไปอ่านเอง โดยหลักจะเป็นตำราของท่านอาจารย์และเสริมด้วยชีทสรุปและข้อสอบเก่าหน้าราม พอได้หนังสือกลับมาครบแล้วก็จะแบ่งเวลาอ่านหนังสือ

โดยจะอ่านทุกวันวันละ1ชม.แต่เป็น1ชม.ที่อ่านแบบเข้าใจ เวลาอ่านหนังสือจะอ่านได้นานเท่าไหนไม่ใช่สิ่งสำคัญ มันสำคัญที่ว่าเราได้อะไรจากการอ่านในครั้งนั้นๆบ้าง แต่ที่สำคัญต้องสร้างนิสัยของการรักการอ่านขึ้นมาโดยจะต้องอ่านหนังสือทุกวัน และควรจะโน้ตย่อไปด้วยในทุกๆครั้งที่อ่าน ซึ่งการโน้ตย่อไปด้วยในเวลาอ่านนั้นจะทำให้เรารู้ว่าเราเข้าใจในสิ่งนั้นๆมากน้อยแค่ไหน

อีกทั้งยังสามารถนำมาทบทวนในช่วงใกล้สอบได้อีกด้วย ซึ่งส่วนตัวผมแล้วผมคิดว่าการโน้ตย่อจะทำให้การอ่านหนังสือเป็นรูปธรรมมากขึ้น เวลามีปัญหาอะไรติดค้างคาใจก็ไม่รู้จะไปถามใครที่ไหนก็จะใช้วิธีไปถามคนในfacebook โดยจะถามจากกลุ่มของเด็ก นิติราม. กลุ่มของ นศ.เนติ หรือกลุ่มสำหรับเตรียมสอบผู้พิพากษา/อัยการ

คำตอบที่ได้ก็จะหลากหลายกันไปซึ่งนอกจากจะได้คำตอบตรงบ้างไม่ตรงบ้างเรายังได้รู้ความคิดเห็นของคนอื่นด้วย เพราะการเรียนวิชากฎหมายเราไม่สามารถเรียนคนเดียวได้ ซึ่งสำหรับใครที่มีโอกาสเข้าไปนั่งฟังคำบรรยายควรจะหาเพื่อนที่เรียนด้วยกันเวลามีปัญหาจะได้ปรึกษากันและที่สำคัญเวลามีปัญหาอะไร ก็ควรเข้าไปถามอาจารย์ท้ายคาบเลยอย่าให้ปัญหานั้นสะสมจนเราเรียนไม่รู้เรื่องเพราะมันจะทำให้เราไม่สนุกกับการเรียน

หลายคนชอบถามว่าต้องจำตัวบทไหม ตอบได้เลยว่าต้อง ซึ่งในช่วงแรกๆผมท่องตัวบทเยอะมากท่องจนแทบจะจำได้ทุกตัวอักษร แต่สุดท้ายก็สอบตกเพราะไม่รู้ความหมายและวิธีการใช้ตัวบทมาตรานั้นๆ อาศัยท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทองเจอข้อสอบก็ทำไม่ได้ ผมเลยใช้วิธีใหม่คือทำความเข้าใจกับตัวบทโดยอ่านจากตำรา ตัวอย่างจากคำพิพากษาศาลฎีกา

โดยเวลาอ่านหนังสือก็จะเปิดตัวบทควบคู่ไปด้วยตลอดและจดโน้ตย่อเฉพาะเรื่องสำคัญๆหรือตัวอย่างแปลกๆเข้าไปข้างๆตัวบทมาตรานั้นๆ เมื่อเราเข้าใจมาตราดังกล่าวได้เป็นอย่างดีแล้ว เวลาเรามานั่งท่องตัวบทก็จะทำให้จำง่าย เพราะเราท่องจากความเข้าใจ ไม่ใช่ท่องแบบนกแก้วนกขุนทองโดยไม่รู้อะไรเลย ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกานั้นเป็นตัวอย่างของการปรับใช้กฎหมาย

จึงมีความสำคัญต่อการเรียนกฎหมายมากซึ่งธงคำตอบส่วนใหญ่จะอิงจากคำพิพากษาศาลฎีกา แต่การที่เราจะมาอ่านฎีกาได้นั้นเราควรมีความรู้ในหลักเรื่องนั้นๆมาก่อน ข้อสอบเก่าก็เป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นเสมือนลายแทงในการดูหนังสือ ข้อสอบส่วนใหญ่ชอบออกในเรื่องใดแสดงว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเราควรจะให้ความสำคัญกับเรื่องนั้นๆเป็นพิเศษ

การเขียนตอบข้อสอบกฎหมายในชั้นปริญญาตรีนั้นเนื่องจากข้อสอบมีประเด็นไม่มากและมีเวลาพอสมควร ผมจึงใช้วิธีวางหลักกฎหมายก่อนและอธิบายหลักเล็กน้อยแล้วจึงปรับหลักกฎหมายให้เข้ากับข้อเท็จจริง และสรุปผลของการวินิจฉัยในส่วนท้าย

การเขียนตอบข้อสอบที่จะทำให้ได้คะแนนดีควรเก็บให้ครบทุกประเด็น อย่าพึ่งใจร้อนไปตอบธงคำตอบหลักเลย ค่อยๆปรับไปเรื่อยๆ และควรใช้ถ้อยคำที่ชัดเจนไม่กำกวมอ่านง่ายเขียนตัวโตๆ ควรขึ้นย่อหน้าใหม่ทุกครั้งเมื่อขึ้นประเด็นใหม่

ต่อมาเมื่อผมได้มาเรียนชั้นเนติบัณฑิต ผมก็ปฏิบัติดังที่กล่าวมาข้างต้นทุกประการ แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือผมได้มีโอกาสมานั่งฟังคำบรรยายที่เนติบัณฑิตยสภาฯ เวลามีปัญหาอะไรก็มักจะเข้าพบอาจารย์ท้ายคาบเสมอ และตำราที่ใช้เป็นหลักในการเรียนในชั้นนี้คือรวมคำบรรยายของเนติฯ

โดยผมจะหาซื้อคำบรรยายสมัยที่แล้วมาฉีกเป็นเล่มแยกเป็นรายวิชา แล้วก็อ่านควบคู่ไปกับการเข้าฟังคำบรรยาย และรับคำบรรยายในสมัยนี้ด้วย เวลาผมเข้าเรียนผมจะตั้งใจมากพอกลับมาก็อ่านคำบรรยายทบทวนและท่องตัวบท ทำแบบนี้จนเป็นกิจวัตรประจำวัน

และไม่ว่าเราจะเตรียมตัวมาดีแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเข้าสอบซึ่งนอกจากความรู้แล้วคือสติ บางคนเตรียมตัวมาดีมากแต่พอใกล้สอบสติแตกจนทำไม่ได้ก็มี เราจึงควรหาวิธีจัดการกับอารมณ์และสมาธิของเราก่อนสอบโดยสำหรับผมผมจะพยายามคิดว่าการสอบเป็นเรื่องที่เล็กที่สุดของชีวิต สอบไม่ได้ก็สอบใหม่

และพกความมั่นใจเต็มร้อยเข้าไปนั่งสอบโดยก่อนเริ่มทำข้อสอบผมจะนั่งนิ่งๆไม่คิดอะไรประมาณ5นาทีและลงมือทำข้อสอบ รุ่นพี่หลายคนแนะนำให้เปิดดูข้อสอบทั้ง10ข้อก่อนและเขียนเลขมาตราที่ต้องใช้เอาไว้ที่กระดาษคำถาม แล้วค่อยกลับมานั่งทำทีละข้อ

แต่ผมรู้ดีว่าวิธีนี้ไม่เหมาะกับผมเพราะเวลาเราดูครบทั้ง10ข้อแล้ว แล้วกลับมานั่งเขียนทีละข้อเราก็ต้องเสียเวลาอ่านโจทย์ใหม่อีกรอบและสติเราอาจจะไม่ได้อยู่ที่ข้อที่เรากำลังจะเขียน แต่อาจจะไปพะวงกับข้ออื่นๆที่อ่านมาแล้วว่าจะทำข้อนั้นได้ไหม ที่ธงคำตอบที่เขียนไว้แต่ละข้อนั้นถูกไหม

ยิ่งทำให้ไม่มั่นใจและเสียเวลา ผมจึงเริ่มทำทีละข้อข้อไหนไม่ได้ข้ามไปก่อนแล้วค่อยกลับมานทำทีหลัง ส่วนในการเขียนตอบข้อสอบในชั้นเนติบัณฑิตของผมจะต่างไปจากตอนเรียนปริญญาตรี เพราะเนื่องด้วยจำนวนข้อสอบที่มีมากถึง10ข้อและแต่ละข้อก็มีหลายประเด็นและมีเวลาเพียง4ชั่วโมง ผมจึงใช้วิธีปรับข้อเท็จจริงเข้ากับหลักกฎหมายเลยโดยเขียนให้กระชับและได้ใจความมากที่สุด

สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่าไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด ทุกคนที่ประสบความสำเร็จได้นั้นต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างถูกวิธี และไม่มีใครเก่งไปทุกเรื่องอ ดังนั้นเราควรทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้วเพื่อเปิดรับสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ อย่าคิดว่าตนรู้แล้วเก่งแล้วเลยไม่ฟังใคร เพราะบางทีเราอาจจะยังไม่รู้อะไรเลยก็ได้ และความไม่รู้ที่น่ากลัวที่สุดคือ”ไม่รู้ว่าไม่รู้อะไร” ”

ขอบคุณข้อมูล : คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง – ทางการ