อย่าทำตัวเป็นม้าพันลี้ จริงๆแล้วไม่มีใครเก่งกว่าใครได้หรอก

ข้อคิดสอนใจ

ก็ไม่รู้ว่าการเป็นคนมันวัดการที่ตรงไหน แต่บางคนเขาวัดกันที่ฐานะความยากจน ร่ำรวย หลายคนเคยบอกว่าคนจนก็ต้องไปอยู่ส่วนคนจน ส่วนคนรวยเขาจะดูกับคนรวยๆฐานะเหมือนกัน บอกเลยว่ามันไม่สมเหมาะเป็นอย่างมากที่ในสังคมของเราจะคิดกันแบบนี้ มันไม่ยุติธรรมกับใครหลายๆคนเลยทีเดียว คนเราเกิดมีค่าความเป็นคนเท่ากัน แต่ละคนต่างมีทักษะที่ตัวเองถนัด ทักษะการเอาตัวรอดต่างๆ เพื่อให้ตนเองใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นบนโลกได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร ลองอ่านเรื่องราวของม้าหนุ่มพันลี้ตัวนี้ลองดู คุณอาจจะได้ข้อคิดเตือนใจจากเรื่องนี้ไม่น้อยเลย ซึ่งมันสามารถเอามาเปรียบเทียบกับเรื่องราวมของเราได้เหมือนกันว่าคนเราถ้าหากคิดว่าตัวเองเก่งกว่าใครก็อาจจะเป็นเหมือนม้าตัวนี้

เรื่องก็มีอยู่ว่า ณ เมืองแห่งหนึ่งมีม้าหนุ่มพันลี้ตัวหนึ่ง ที่เก่ง แข็งแรง วิ่งได้ในระยะทางเป็นพันลี้เลยโดยไม่เหน็ดเหนื่อยเลย วิ่งเร็วมากๆ ตัวมันเองต่างรู้ว่าตัวเองนั้นวิ่งเก่งมากแค่ไหน มันเลยเลือกคนที่จะขี่มันแน่นอนว่ามันรอ รอคนที่มีความรู้ มีความสามารถ และดีเทียบเท่ากับมันเท่านั้นถึงให้ยอมขึ้นขี่หลัง

ในระหว่างนั้งเองก็มีคนเข้ามาหามันมากมายเลย แล้วก็มีพ่อค้าคนหนึ่งเข้ามา ม้าพันลี้ตัวนี้ แล้วถามม้าว่า “เจ้าจะยอมไปกับข้าหรือไม่” ซึ่งเจ้าม้าก็ส่ายหัวและตอบไปว่า ” ม้าฝีเท้าดีๆแบบข้า ทำไมจะต้องยอมไปกับเจ้า แค่ไว้ใช้งานส่งของด้วยล่ะ ” ต่อมาทหารก็เข้ามาถามต่อเหมือนกันว่า ” เจ้าจะยอมไปกับข้าหรือไม่ ” ม้าก็ส่ายหัวและตอบบว่า ” เจ้าเป็นทหราธรรมดาทำไมข้าจะต้องไปรับใช้คนแบบเจ้าด้วยล่ะ ” ต่อมานายพรานก็ได้เข้ามาถามว่า ” เจ้าจะยอมไปกับข้าหรือไม่ ” แน่นอนว่าม้าก็ยังคงส่ายหัวและปฏิเสธเหมือนเดิม แล้วทำไมต้องไปทำงานหนักรับใช้นายพรานแบบเจ้าด้วย

พอเวลาผ่านไปนานหลายปีแล้ว ก็ยังคงรอคนที่เหมาะสมซึ่งมีคนเข้ามาหามากมายแค่ไหนม้าพันลี้ตัวนี้ก็ไม่ยอมรับใครเลย แล้วข่าวก็กระจายชื่อเสียงของม้าไปถึงวังหลวงเลยมีรับสั่งตามพระราชโองการให้ขุนนางท่านหนึ่งไปตามหาม้าพันลี้ ไม่นานขุนนางก็ได้พบกับม้าจึงได้แนะนำตัวและไถ่ถามหา

พอม้าพันลี้รู้ว่ามีคนมาหาเป็นขุนนางชั้นสูงก็ดีใจมากๆ ที่ในที่สุดจะได้รับใช้คนที่เหมาะสมกับตัวเองที่รอมานาน ม้าเลยบอกไปว่า “ข้าคือม้าพันลี้ ที่ท่านตามหาอยู่ ” แต่ก่อนที่ขุนนางจะพากลับวังนั้นก็ถามม้าว่า “เจ้าเชี่ยวชาญเส้นทางในประเทศเราไหม ” ม้าก็ตอบว่า ” ไม่ เพราะข้าไม่ได้เดินทางไปไหนมานานมากแล้ว ”

ขุนนางก็ถามต่อว่า “เจ้าเคยมีประสบการณ์ในการสู้สมรภูมิรบบ้างไหม ” ม้าก็ตอบว่า ” ไม่ ข้าไม่เคยเข้าร่วมรบ เพราะข้าไม่รับใช้ทหารธรรมดาๆ ” ขุนนางก็ถามต่อว่า “เจ้าเคยเข้าป่าเพื่อให้คนขี่ใช้วิ่งล้าสัตว์ไหม ” ม้าก็ตอบว่า ” ไม่ ข้าไม่ใช่ม้าธรรมดา ที่จะให้นายพรานมาใช้งานหรอก ” ขุนนางเลยพูดขึ้นว่า ” แล้วข้าจะเอาเจ้าไปใช้ประโยชน์อะไรได้อีก ” ม้าก็ตอบไปว่า ” ข้าวิ่งเวลากลางวันได้ วันละพันลี้ และกลางคืนแปดร้อยลี้ ”

พดได้ยินแบบนั้นขุนนางก็ลองให้ม้าทดสอบวิ่งให้ดู เพื่อดูความแข็งแกร่งที่เขาล่ำลือกัน พอม้าวิ่งมันก็ภูมิใจที่ได้โชว์ความสามารถของตัวเอง แต่มันวิ่งไปไม่กี่ก้าวมันก็เหนื่อย หายใจหอบแล้ว ขุนนางเลยบอกว่า ” เมื่อก่อนตอนหนุ่มเจ้าคงจะเก่งจริงๆ ตามที่คนล่ำลือกันแต่ตอนนี้เจ้าแก่แล้ว ไม่ไหวแล้ว ถ้าข้าเอาเจ้าไปคงใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้อีกแล้ว ” พอพูดจบขุนนางก็เดินจากไปทันที ในขณะที่ม้ายังไม่หายหอบเลย

เรื่องนี้ก็สอนให้เรารู้ว่าการอวดดีคิดว่าตนเองเก่งเหนือใครนั้นอย่าลืมว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าอยู่เสมอ พอเวลาผ่านไปอายุก็มากขึ้นเรี่ยวแรงก็หายไป ฉะนนั้นแล้วโอกาสบางอย่างที่มันเข้ามาในช่วงจังหวะชีวิตก็ควรจะคว้าเอาไว้เป็นประสบการณ์ ถ้ามัวแต่รอสิ่งที่ดีที่สุดบางทีพอถึงเวลานั้นกลับเป็นตัวเองที่มีประสบการณ์ไม่มากพอ

ขอบคุณข้อมูล: bitcoretech