ซี ศิวัฒน์ ในชีวิตร้องไห้ 3 ครั้ง เผยสิ่งที่ทำผิดพลาดต่อครอบครัว

บันเทิง

ต้องบอกเลยว่านักแสดงและพิธีกรหนุ่มหล่อมากความสามารถอีกหนึ่งคน สำหรับ ซี ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ โดยเจ้าตัวได้เปิดใจครั้งแรก ถึงสิ่งที่เสียใจที่สุดในชีวิต ความผิดพลาดในอดีตระหว่างครอบครัว จนกลายเป็นปมที่ทำให้ต้องเสียน้ำตา 3 ครั้งในชีวิต ในรายการ WOODY FM

ทราบมาว่าในชีวิตของ ซี ศิวัฒน์ ร้องไห้ไม่กี่ครั้ง ?

ซี ศิวัฒน์ : 3 ครั้งครับ ครั้งแรกที่ร้องไห้คือคุณพ่อเสีย ตอนนั้นอายุ 18 ร้องไห้จริงๆ ก็ตอนสุดท้ายที่ส่งคุณพ่อจะเผาแล้ว ครั้งที่ 2 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของผม ที่มันไม่สามารถบอกใครได้ในขณะนั้น ซึ่งไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวผมเอง ผมจำได้ว่าผมทำอะไรไม่ถูกขับรถไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองขับรถไปไหน ในขณะที่เราต้องการใครสักคนหนึ่งมาอยู่ข้างๆ

อยู่ๆ ก็มีโทรศัทพ์โทรเข้ามาหาเป็นเบอร์ที่ผมคุ้นเคย แต่เป็นเบอร์ที่ผมไม่เคยนึกถึงเลย ซึ่งเบอร์โทรศัพท์นั้นก็คือเบอร์คุณแม่ผม ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณแม่มันคล้ายๆ เหมือนรถไฟเหาะ ขึ้นๆ ลงๆ คือสมัยตอนเด็กๆ ผมค่อนข้างมีปมในชีวิต ผมค่อนข้างที่จะเกเรมากตอนเด็กๆ พี่น้องผมเป็นเด็กเรียนดีทุกคน แต่ผมเรียนแย่มาก อะไรที่เรามองว่าไม่ใช่ปุ๊บไม่เอาเลย

ก็เลยจะออกแนวเป็นแกะดำในบ้าน แล้วผมก็จะถูกเปรียบเทียบอยู่เสมอกับพี่ชาย จนมันเก็บไว้ แต่เรารู้ว่าตัวเรามีค่าพอ เราดีกว่านี้นะ แล้ววันนั้นเขาโทรมาว่าฮัลโหลน้องซีทำอะไรอยู่ลูก ผมในตอนนั้นคือแย่มาก ยังไม่ทันได้พูดอะไร แล้วคุณแม่ผมคงจับอะไรบางอย่างได้ ท่านก็ถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่าลูก มีอะไรไหม ในโมเมนต์นั้นนะครับพี่วู้ดดี้ ผมไม่สามารถพูดอะไรได้เลย

มันพูดไม่ออก ผมพูดเสียงสั่นๆ ว่าหม่าม๊าเดี๋ยวขับรถก่อน เดี๋ยวโทรกลับหลังจากวางโทรศัทพ์ผมร้องไห้หนักมาก ถามว่าทำไมร้องไห้หนักขนาดนั้นเพราะความรู้สึกมันมาหลายอย่าง ทั้งเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา และเสียใจกับสิ่งที่เราทำกับแม่เอาไว้ ในขณะที่เราต้องการใครก็ได้สักคนหนึ่งแต่คนแรกที่โทรมากลับเป็นคนสุดท้ายที่เราคิดถึง

จึงย้อนกลับไปในเหตุการณ์ว่าตลอดเวลาที่เราใช้ชีวิตมาเราทำอะไรอยู่ ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ ทำไมถึงสร้างปมในชีวิตตัวเอง สร้างกำแพงขึ้นมาแบ่งกั้นระหว่างแม่ตัวเองกับตัวเรา ทั้งๆ ที่คนๆ นี้คือคนที่ให้เรา มีความสุขกับโลกใบนี้อะไรก็ตาม ถ้าไม่มีแม่เราคงไม่มีโอกาสเจอสิ่งเหล่านี้แน่นอน แต่เรากลับไม่เห็นคุณค่าเขาเลย ผมเคยคิดว่าผมจะหาเงินให้ได้ 300 ล้าน

โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเอาเงินนี้ไปทำอะไร แล้วผมคิดว่าการให้เงินแม่ผมมันคือที่สุดของความเป็นลูกแล้ว จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย คุณแม่ผมไม่เคยต้องการเงินจากผม เขาต้องการผม แต่ผมไม่เคยอยู่ในโมเมนต์นั้นให้เขาเลย วันนั้นจึงทำให้ผมพบทางสว่างของชีวิต ว่าความฝันเป้าหมายที่สร้างไว้พุ่งชนกับมัน ผมดีใจแต่ผมไม่เคยมีความสุขกับมันเลย

เพราะผมทำมันเพื่อตัวเอง ไม่ได้ใช้ลมหายใจนี้เพื่อคนที่ผมรักหรือคนที่เขารักผมเลย ต่อให้มีชื่อเสียง มีเงินมากมายแต่สุดท้ายคนที่เรารัก เขาไม่อยู่กับเรา มันไม่มีความหมายเลยแม้แต่นิดเดียว เราใช้ชีวิตผิดมาโดยตลอดเลย ผมเลยกลับบ้านคืนนั้นเลย ผมตั้งปณิธานว่าจะต้องกราบเท้าคุณแม่ผมให้ได้ ผมก็บอกแม่ว่าหลังจากนี้เป็นต้นไป

น้องซีจะทำให้หม่าม๊ามีความสุขที่สุดเท่าที่น้องซีจะทำได้ ลูกคนเดิมมันได้ตายไปแล้ว นี่คือเป็นลูกคนใหม่ หลังจากนี้น้องซีจะบวชให้หม่าม๊านะครับ แม่ผมก็ร้องไห้ แล้วผมก็ได้มีโอกาสบวชให้แม่ หลังจากบวชประมาณปีครึ่งคุณแม่ผมก็เสีย ตอนที่แม่ผมเสียก็เป็นครั้งที่ 3 ในชีวิตที่ผมร้องไห้ วันนี้เรามีความฝันได้ เราดูแลฝันเราได้ แต่เราก็สามารถดูแลคนที่เรารักได้เช่นเดียวกัน

สิ่งที่ผมทำ ผมดูแลความฝันผม สุจริตต่อความฝันผม และเซ็ตมันเป็นเป้าหมาย แต่ผมลืมที่จะใช้ลมหายใจนี้เพื่อคนที่เรารัก มันจึงทำให้ผมไม่มีความสุขเลย ผมจะมีชื่อเสียงมีเงินทอง ผมภูมิใจกับมัน แต่ผมไม่ได้มีความสุขกับมัน เพราะวันนี้ผมไม่มีแม่ไม่มีพ่อให้ร่วมยินดีกับผมแล้ว ทุกครั้งที่เป็นวันพ่อ วันแม่ เป็นวันที่ผมไม่มีความสุขที่สุด แม้ว่าวันนี้ผมอภัยให้กับตัวเองแล้วก็ตาม

แต่มันก็จะเป็นโมเมนต์ที่เราทำทุกวันนี้เพราะอยากให้เขาภาคภูมิใจ ให้เขาเห็นว่าพ่อและแม่เลี้ยงผมได้ดีที่สุดในโลก แม้ว่าผมจะเกเรยังไงก็ตาม ผมอยากได้สิ่งไหนผมก็ได้เสมอ ฉะนั้นมันเป็นความรู้สึกที่ยังกรุ่นในใจผมเสมอ แต่ในวันนี้ผมข้ามสิ่งเหล่านั้นมาได้แล้วนะครับ ท่านคงอยู่ที่ไหนสักแห่ง และเชื่อว่าท่านจะภูมิใจในตัวผม ในสิ่งที่ผมเป็น

ผมอยากจะบอกทุกคนเลยในวันนี้  ใครก็ตามที่ยังมีคุณพ่อคุณแม่อยู่แม้วันนี้เราอาจจะไม่ได้ร่ำรวยกว่าใคร อาจไม่ได้มีทุกสิ่งทุกอย่าง ขอให้มีข้าวปลาทู 1 จาน แต่ทุกคนนั่งกินพร้อมหน้าพร้อมตาได้เห็นรอยยิ้มซึ่งกันและกัน ความสุขอยู่รอบกายเราครับ แค่นั้นมันก็มีความสุขแล้ว จริงๆ แล้ว เพราะเป็นพี่วู้ดดี้ด้วยน่าจะเป็นคนแรกที่ผมพูดเรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องครอบครัว

เรื่องคุณแม่ผม ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย ซึ่งมันก็ดีถ้าผมจะเล่าเรื่องส่วนตัวของผม ให้ใครสักคนหนึ่งฟัง คนๆ นั้นก็คงจะต้องเป็นพี่วู้ดดี้เท่านั้นที่ผมอยากจะเล่า ผมรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ผมมั่นใจได้เลย การที่เราได้คุยกันวันนี้มันจะสร้างแรงกระเพื่อมอะไรบางอย่าง ไม่มากก็น้อยให้กับผู้คน

ขอบคุณข้อมูล:WOODY FM